แนะนำ 7 Soundbar ดู Netflix ที่ห้ามพลาด!
4 มิ.ย. 2563
ในปัจจุบันต้องยอมรับเลยว่ากิจกรรมประจำวันของมนุษย์มีการเปลี่ยนแปลงจากเดิมไปมาก ด้วยปัจจัยรอบตัวที่เปลี่ยนไป เช่น เทคโนโลยีการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตในปัจจุบันมีความแรงมากขึ้นทั้งเน็ตบ้านและเน็ตมือถือ ในขณะที่ราคาค่าบริการลดลงทำให้คนทั่วๆ ไปสามารถเข้าถึงบริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงได้ง่ายขึ้น เป็นต้น ซึ่งเมื่อเน็ตฯเร็วขึ้น บริการ Streaming ออนไลน์ต่างๆ ที่ใช้ประโยชน์จากความเร็วเน็ตฯก็เข้ามามีบทบาทมากขึ้น เช่น บริการ Streaming ภาพยนตร์ หรือ ดูหนังออนไลน์ ที่ในปัจจุบันนั้นมีให้เลือกมากมายหลายค่ายด้วยกัน โดยค่ายที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบันก็คือ Netflix ที่มีการพัฒนาและปรับปรุงคุณภาพการบริการอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการนำภาพยนตร์และซีรีส์เข้ามาให้เลือกชมอยู่ตลอดทั้งเก่าและใหม่ ไปจนถึงหายาก รวมถึงยังผลิตคอนเทนต์ภาพยนตร์และซีรีส์ Netflix Originals ใหม่ๆ ออกมาเอาใจผู้ใช้บริการอยู่เรื่อยๆ อีกด้วย
นอกจากเรื่อง Content แล้ว อีกเรื่องที่มีการพัฒนาอยู่เสมอมานั่นก็คือส่วนของประสบการณ์การรับชม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคุณภาพการส่งสัญญาณที่ปัจจุบันมีให้เลือกรับชมสูงถึงระดับ UHD, 4K พร้อมด้วยระบบสีแบบ HDR และ Dolby Vision เรียกได้ว่าภาพคมชัดสีสันสมจริงกันแบบสุดๆ รวมไปถึงส่วนของระบบเสียงที่ล่าสุดได้รับการปรับปรุงเรื่องคุณภาพให้มีความสมจริงและใกล้เคียงกับเสียงต้นฉบับที่ผู้ผลิตภาพยนตร์ต้องการให้ได้ยินมากที่สุด และยังเพิ่มระบบเสียงที่มีทิศทางมากขึ้นทั้ง 5.1 และ Dolby Atmos เข้ามาอีกด้วย ซึ่งการที่จะรับฟังเสียงให้มีคุณภาพมากขึ้นทั้งระบบ Stereo, Surround 5.1 และ Dolby Atmos จำเป็นต้องมีส่วนประกอบดังนี้
• App Netflix พร้อมสมัครแพคเกจ ULTRA HD (419 บาท/เดือน)
• Internet ความเร็วสูง (Hi-Speed Internet)
• TV ความคมชัดระดับ Full HD - 4K
• ลำโพงที่รองรับระบบเสียง Dolby Digital และ DTS
เมื่อมีส่วนประกอบครบตามที่กล่าวมาก็จะสามารถรับชม Netflix ได้อย่างเต็มอิ่มกับประสบการณ์ทั้งภาพและเสียงที่ไม่แพ้กับการรับชมในโรงภาพยนตร์เลยทีเดียว โดยในครั้งที่แล้ว Mercular.com ก็ได้แนะนำลำโพงคอมฯสำหรับดู Netflix ในบทความ “5 ลำโพงคอม ดู Netflix ราคาหลักพัน” กันไปแล้ว และในครั้งนี้ Mercular.com ก็มี 7 ลำโพง Soundbar ที่จะมาตอบโจทย์การรับชม Netflix ในระบบเสียงที่ยอดเยี่ยมกว่าลำโพงบน TV หรือ ลำโพงทั่วๆ ซึ่งจะมีรุ่นใดบ้างนั้น เรามาดูกันเลยครับ
1. ลำโพง Bose Smart Soundbar 900
แน่นอนครับว่าถ้าหากพูดถึง Soundbar แล้วล่ะก็ อีกหนึ่งแบรนด์ที่ยืนหนึ่งในเรื่องนี้คงไม่พ้น Bose อย่างแน่นอน โดยรุ่นที่เราจะแนะนำนั้นก็คือ Bose Smart Soundbar 900 นั้นเอง โดยที่ลำโพง Soundbar ตัวนี้ ถือว่าเป็นรุ่นแรกของ Bose ที่รองรับระบบ DOLBY ATMOS® จากลำโพงที่ยิงออกทางด้านบนทั้ง 2 ตัว เรียกได้ว่าสร้างประสบการณ์ด้านเสียง ราวกับรับชมภาพยนตร์ในโรงหนังกันเลยทีเดียว รับรองได้เลยว่าประสบการณ์ดู Netflix ของเพื่อนๆจะเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน โดยการควบคุมการทำงาน ก็สามารถสั่งการผ่านรีโมท หรือ สามารถควบคุมผ่านแอปพลิเคชัน Bose Music App เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งลำโพง Soundbar ที่ใช้งานได้อย่างง่ายดายตัวหนึ่งเลยทีเดียว
ลำโพง Bose Smart Soundbar 900 ตัวนี้มีขนาดอยู่ที่ 2.29 x 41.14 x 4.21 นิ้ว วัสดุด้านบนเลือกใช้เป็นกระจก ที่ช่วยขับสีดำจากตัว Soundbar ให้มีความเงางาม และ ดูหรูหราขึ้นอีกระบดับ สำหรับการเชื่อมต่อลำโพงรุ่นสารถเชื่อมต่อได้ทั้งแบบมีสายผ่าน HDMI หรือ Optical และถ้าหากคุณเป็นคนที่ไม่ชอบความรุงรังของสายเชื่อมต่อต่างๆ ก็สามารถใช้การเชื่อมต่อไร้สายได้กับทั้ง Bluetooth 4.2 รัศมีการเชื่อมต่อที่ 9 เมตร และ Wi-Fi ลำโพงตัวนี้มาพร้อมกับดอกลำโพงถึง 9 ดอก และ 2 ตัวในนั้นเป็นลำโพงที่ยิงขึ้นด้านบนเพื่อสร้างเสียงในระบบ DOLBY ATMOS® นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชันอย่าง ADAPTiQ ที่จะช่วยปรับคุณภาพของเสียงให้ดียิ่งขึ้น ตัวลำโพงสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ลำโพงชิ้นอื่นๆของ Bose ผ่าน Wi-Fi ได้อีกด้วย และยังมีฟีเจอร์อื่นๆที่น่าสนใจไม่ว่าจะเป็นการสั่งการด้วยเสียงผ่าน Alexa และ Google Assistant รองรับการฟังเพลงแบบไร้สายทั้ง Apple AirPlay, Chromecast built-in, Spotify เรียกได้ว่าเป็นลำโพงสุดพรีเมียม ที่จะช่วยเพิ่มอรรถรสในการดู Netflix ของเพื่อนๆไปอีกระดับ
- รองรับระบบ DOLBY ATMOS®
- เชื่อมต่อได้ทั้งมีสาย และไร้สาย
- มีระบบสั่งการด้วยเสียง
- สามารถเชื่อมต่อกับลำโพงอื่นๆของ Bose
2.ลำโพง Klipsch Cinema 600 + Surround 3 Soundbar
อีกหนึ่งรุ่น Soundbar ที่ทาง Klipsch ส่งเข้าประกวดกับ ลำโพง Klipsch Cinema 600 + Surround 3 Soundbar ที่จะมอบคุณภาพเสียงสมจริง กับระบบเสียง 3.1 ซึ่งเจ้าตัวนี้มาพร้อมกับลำโพง Surround 3 ที่จะเข้ามาเพิ่มความกระหึ่มในการรับชม Netflix ของเพื่อนๆ โดยเมื่อเพื่อนๆต่อพ่วงกับลำโพง Surround 3 แล้ว ระบบเสียงที่ได้ก็จะเป็น 5.1 ในเรื่องของดีไซน์ และ ฟังก์ชันการใช้งานของSoundbar ตัวนี้ ทำได้ตามมาตราฐานของแบรนด์ Klipsch นี่จึงเป็นลำโพงอีกหนึ่งรุ่น ที่เหมาะจะเป็นอีกนหนึ่งตัวเลือก ให้กับเพื่อนๆที่กำลังมองหา Soundbar คุณภาพดีซักหนึ่งตัว
ตัว Klipsch Cinema 600 มากับขนาด 45 นิ้ว จึงเหมาะอย่างยิ่งกับคนที่มี TV ขนาด 45 นิ้วขึ้นไป ตัวบอดี้ของ Soundbar เลือกใช้วัสดุที่เป็นไม้ ซึ่งจะช่วยในเรื่องของคุณภาพเสียง ทำให้ได้เสียงที่ดีมีคุณภาพ ในเรื่องการเชื่อมต่อก็สามารถเลือกได้ทั้ง HDMI, Optical Digital และ 3.5 mm. หรือว่าจะเป็นการเขื่อมต่อไร้สายอย่าง Bluetooth ก็มีให้เลือก เรียกได้ว่าตอบโจทย์ผู้ใช้ที่มีความต้องการอย่างหลากหลาย ส่วนการควบคุม Klipsch Cinema 600 ก็มีรีโมทแถมมาให้ 1 ชิ้น นอกจากนี้ยังสามารถโหลด Klipsch Connect แอปพลิเคชันที่สามารถเข้าไปปรับแต่งการทำงานของตัว Soundbar ได้อีกด้วย เรื่องคุณภาพเสียงของเจ้าตัวนี้ บอกว่าเลย ด้วยชื่อเสียงของแบรนด์ Klipsch ทำให้เพื่อนๆหายห่วงในเรื่องนี้ได้อย่างแน่นอน ในด้านเสียงกลาง คมชัด กังวาล เสียงสูงทอดไปไกล เสีียงต่ำทำได้อย่างดี หนักแน่น เบสลงลึกแบบ Deep Bass เวทีเสียงโดยรวมทำได้อย่างดี ใช้ได้กับห้องขนาด 4 ตารางเมตรขึ้นไปได้อย่างไม่มีปัญหา รับรองได้เลยว่าเป็นอีกหนึ่ง Sound Bar ดู Netflix ที่เราแนะนำ
- ลำโพง Soundbar 3.1 ขนาด 45 นิ้ว
- เมื่อต่อ Surround 3 สามารถทำให้ระบบเสียงเป็น 5.1 ได้
- เชื่อมต่อได้ทั้งมีสาย และไร้สาย
- เหมาะกับ TV ขนาด 45 นิ้วขึ้นไป
3.ลำโพง Sony HT-Z9F 3.1ch Dolby Atmos DTS:X Soundbar
ถ้าเป็นเรื่องของเครื่องเสียงแล้วล่ะก็ Sony ไม่เป็นสองรองใครอย่างแน่นอน โดยรุ่นต่อมาที่เราอยากจะแนะนำนั่นก็คือ ลำโพง Sony HT-Z9F 3.1ch Dolby Atmos DTS:X Soundbar นั่นเอง โดยที่ Soundbar 3.1 แชนแนลตัวนี้ มีจุดเด่นอยู่ที่ระบบอย่าง Vertical Surround Engine นวัตกรรมเสียงเซอร์ราวด์รอบทิศทาง โดยเป็นระบบที่จะสร้างเสียงในแนวตั้ง และระบบ S-Force Front Surround Pro ที่จะสร้างเสียงพุ่งเข้าหาผู้ฟังจากทางด้านข้าง ทำให้เกิดเสียงเซอร์ราวด์รอบทิศทาง คล้ายกับการฟังเสียงจากลำโพงระบบ 7.1.2ch รองรับการรับชมภาพยนต์ที่มี Dolby Atmos และ DTS:X
ลำโพง Sony HT-Z9F 3.1ch Dolby Atmos DTS:X Soundbar มีโหมดเสียงให้เลือกปรับได้ถึง 5 โหมดด้วยกันได้แก่ ภาพยนตร์, เพลง, เกม, ข่าว และ กีฬา ที่จะมีจุดเด่นแตกต่างกันออกไป ทำให้สามารถปรับให้เข้ากับความบันเทิงที่เพื่อนๆกำลังรับชมได้ ในส่วนของการเชื่อมต่อก็รองรับทั้ง HDMI, LAN, USB, Wi-Fi และ Bluetooth 4.2 อำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้ ที่ความพร้อมที่ต่างกัน ซึ่งนอกจากจุดเด่นข้างต้น ลำโพงตัวนี้ยังมีฟังก์ชันพิเศษที่น่าสนใจอีก ไม่ว่าจะเป็น DSEE HX ที่สามารถเล่นไฟล์เสียง Hi-Res Audio และ ยังสามารถเชื่อมต่อแอปพลิเคชันของ Sony เพื่อทำการควยคุมการทำงานต่างๆได้อีกด้วย ในเรื่องคุณภาพของเสีย เมื่อผ่านมาตราฐานของ Sony แล้ว รับรองว่าต้องดีอย่างแน่นอน โดยเสียงที่ได้ออกมาสามารถเก็บรายละเอียดต่างๆออกมาได้อย่างดีเยี่ยม ราวกลับรับชมภาพยนต์ ด้วยลำโพงหลายๆตัว เสียงกลางและแหลมที่ได้ จะมีความคมชัด เสียงเบสจะมีความนุ่มลึก แค่มี Soundbar ตัวนี้ ก็เหมือนกับการยกโรงหนังว่าไว้ในห้องแล้ว
- ลำโพง Soundbar 3.1
- เทคโนโลยี Vertical Surround Engine สร้างเสียงแบบ ซอร์ราวด์รอบทิศทาง
- มีโหมดเสียงให้เลือก 5 โหมด
- DSEE HX รองรับไฟล์เสียง Hi-Res Audio
4. JBL Bar 5.1 Sound Bar (ราคา 28,500 บาท)
สำหรับตัวที่จะมาแนะนำกันในครั้งนี้คือลำโพง Soundbar JBL Bar 5.1 ที่ต้องบอกเลยว่าไม่ธรรมดา จุดเด่นคือมาพร้อมระบบเสียงแบบ 5.1 บน ลำโพง Soundbar ที่แหกกฎด้วยอิสระในการตั้งวาง คือจะวางไว้แบบแท่งยาวหน้า TV ทั้งแบบตั้งบนโต๊ะและแขวนผนังก็ได้ หรือจะวางแยกกันอิสระสไตล์ลำโพง Surround ก็ได้เช่นกัน เพราะส่วนปลายทั้ง 2 ข้างนั้นสามารถ ถอดได้! โดยถอดออกเพื่อใช้งานเป็น Surround ไร้สายแบบ True Wireless ขับเสียงแยกข้างอิสระ สามารถนำไปตั้งวางได้ทุกตำแหน่งที่ต้องการ พร้อมแบตเตอรี่ภายในตัวใช้งานได้ต่อเนื่อง 10 ชั่วโมง ชาร์จได้ง่ายดายเพียงต่อกลับเข้ากับตัว ซาวน์บาร์ตัวหลัก ก็จะชาร์จไฟโดยอัตโนมัติ
ส่วนของขนาดกำลังดี ยาวราวๆ 1.1 เมตร ใช้เนื้อที่ไม่มาก ตั้งวางไว้หน้า TV ขนาด 43 นิ้วขึ้นไปได้สบายๆ มาพร้อม Subwoofer แบบไร้สายขนาดใหญ่ถึง 10 นิ้ว ส่วนของการเชื่อมต่อ JBL Bar 5.1 ก็ให้มาครบครันทั้งไร้สาย Bluetooth และมีสายผ่าน HDMI, Optical และ AUX/3.5 mm. ส่วนเรื่องเสียงรองรับระบบเสียง Dolby Digital, Dolby Pro Logic II และ DTS พร้อมแรงขับสูงถึง 510W งานนี้ดู Netflix เพลินแน่นอน ด้วยแนวเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ JBL คือเบสแน่นๆ ลงได้ลึกถึงใจ เปิดแล้วห้องต้องมีสะเทือน และเวทีเสียงที่จัดว่ากว้างและให้รายละเอียดได้ครบ ยิ่งเมื่อถอดตัว Surround มาวางไว้ด้านหลัง ก็จะให้เสียงแบบ 5.1 ที่ได้ยิน Surround มาจริงๆ จัดว่าเป็นลำโพง Soundbar ที่ให้เสียงเบสและ Surround ดีมากๆ
และหาก JBL Bar 5.1 นั้นราคาสูงเกินงบก็ไม่ต้องกังวลเพราะยังมีรุ่น JBL Bar 2.1 ที่ราคาเบากว่าครึ่ง มาพร้อมระบบเสียง 2.1 และ Subwoofer ไร้สายขนาด 6.5 นิ้ว เชื่อมต่อได้ทั้งไร้สายและมีสาย รวมถึงรองรับระบบเสียง Dolby Digital อีกด้วย
• ลำโพง Soundbar ระบบเสียง 5.1
• ปลายทั้ง 2 ข้างถอดเป็นลำโพง Surround ได้
• Subwoofer ไร้สายขนาดใหญ่ 10 นิ้ว
• รองรับระบบเสียงรอบทิศทาง Dolby และ DTS
• เหมาะกับ TV ขนาด 43 นิ้วขึ้นไป
*สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมนั้นดูรีวิวเต็มๆ ได้ที่นี่ครับ
5. ชุดลำโพง Denon Heos Bar + Heos Sub (ราคา 32,900 บาท)
สำถัดมาเป็นสินค้าจากแบรนด์ Denon กับรุ่น Denon Heos Bar ที่ไม่ได้มาเดี่ยวๆ แต่มาพร้อม ลำโพง Subwoofer ไร้สาย Heos Sub นั่นเอง จุดเด่นของลำโพงชุดนี้คือรองรับการเชื่อมต่อไร้สาย Multi-Room สามารถนำรุ่นอื่นๆ มาเชื่อมต่อเพิ่มระบบเสียง ควบคุมได้อย่างอิสระจากทุกห้องภายในบ้าน รวมถึงยังรองรับการ Streaming App ฟังเพลงต่างๆ อีกด้วย ส่วนของขนาด Denon Heos Bar มีขนาดที่กำลังดีไม่สูงมากและยาว 1.1 เมตร เหมาะกับ TV ขนาด 43 นิ้วขึ้นไป จะวางไว้หน้า TV หรือจะแขวนไว้กับผนังใต้ TV ก็ได้เช่นกัน
ตัวลำโพงมามาพร้อมระบบเสียง 3 Channel ให้มิติและทิศทางที่สมจริง เสริมเบสให้กระหึ่มด้วยลำโพง Subwoofer Heos Sub รองรับระบบเสียงรอบทิศทาง Dolby TrueHD, DTS-HD Master, Dolby Digital, Dolby Digital Plus และ DTS Decoding ภาพรวมแนวเสียงต้องบอกเลยว่าครบเครื่อง ให้ทิศทางที่มีความสมจริง ซ้ายขวาหน้าหลัง อารมณ์เหมือนกับไปร่วมอยู่ในสถานที่จริงเลยทีเดียว เสียงเอฟเฟกต์ต่างๆ ทำได้ดีทั้งเสียงลมพัด เสียงกระจกแตก และเสียงระเบิดตูมตามต่างๆ ด้วยตัว Heos Sub ที่ขับเบสลงได้ลึก สมจริง ให้ความรู้สึกเหมือนมาระเบิดอยู่ใกล้ๆ รวมถึงเสียงพูดที่แม้ย่านอื่นจะดังแค่ไหนก็ได้ยินชัดเจนจะแจ้งไม่ต้องมาคอยเพิ่มเสียงเวลาถึงฉากคุยให้วุ่นวาย
และหากระบบเสียง 3.1 ยังไม่พอก็สามารถเพิ่มลำโพง Denon HEOS 1 HS2 อีก 2 ตัวเพื่อขับเสียงแบบรอบทิศทาง 5.1 ได้ด้วยเช่นกัน ส่วนของการเชื่อมต่อให้มาครบถ้วนทั้ง Wifi / Ethernet Multi-Room, Bluetooth, HDMI, AUX/3.5 mm., Optical และ USB เรียกได้ว่าเป็นอีกรุ่นที่พร้อมจะเปลี่ยนประสบการณ์ดูหนัง Netflix ที่บ้านให้ใกล้เคียงกับโรงภาพยนตร์
• ลำโพง Soundbar เสียง 3.1 Multi-Room
• Subwoofer Heos Sub เบสกระหึ่ม
• เพิ่ม Surround ไร้สายเป็นระบบเสียง 5.1 ได้
• รองรับระบบเสียงรอบทิศทาง Dolby และ DTS
• เหมาะกับ TV ขนาด 43 นิ้วขึ้นไป
*เรามาลองฟังแนวเสียงแบบเต็มๆกันครับ
6. Sony HT-S700RF Soundbar (ราคา 13,990 บาท)
สำหรับรุ่นที่ 6 ที่จะมาแนะนำกันคือรุ่น Sony HT-S700RF Soundbar ขึ้นชื่อว่าเป็นแบรนด์ Sony แล้วต้องบอกเลยว่าไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน จุดเด่นของ Sony HT-S700RF คือเป็น ลำโพง Soundbar พร้อมระบบเสียง 5.1 รอบทิศทางในราคาระดับพอดีๆ แบ่งออกเป็น ลำโพง Soundbar, Subwoofer และลำโพง Surround หรือที่ Sony เรียกว่า Tall Boy อีก 2 ตัว ขับเสียงรวมเป็น 5.1 รอบทิศทาง โดยลำโพงทุกตัวจะเชื่อมต่อผ่านสายเข้ามาที่ตัวหลักคือ Subwoofer แลกกับราคาที่เบากว่ารุ่นอื่นๆ ที่ตัวลำโพงเชื่อมต่อกันแบบไร้สายนั่นเอง
สำหรับขนาด Soundbar อยู่ที่ 900 x 64 x 90 มม.หรือเกือบๆ 1 เมตร เหมาะกับ TV ขนาด 35 นิ้วขึ้นไป ส่วนของระบบเสียงรองรับ Dolby Digital, Dolby Dual mono และ DTS ให้เสียงที่สมจริงและกระหึ่มด้วยแรงขับสูงถึง 1,000W เลยทีเดียว ด้านแนวเสียงก็ต้องบอกเลยว่าไม่ผิดหวังแน่นอน ด้วยแนวเสียงสไตล์ของ Sony ที่ทำได้ดีเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ ทั้งย่านเบสที่มีความหนักแน่น ลงได้ลึกถึงใจ และย่านกลางที่มีเนื้อเสียงใหญ่ ใส เคลียร์ เนื้อเสียงสะอาด รายละเอียดครบถ้วนจัดเต็ม ส่วนของทิศทางเสียงที่แจกแจงได้สมจริง ทั้งเสียงด้านหนาและซ้ายขวาจากตัว Soundbar และเสียงอ้อมมาด้านหลังผ่าน Tallboy บอกได้เลยว่าเหมาะกับการเอาไปดูหนังที่มีเอฟเฟกต์หนักๆ และมิติเสียงกว้างๆแน่นอน
ส่วนของการเชื่อมต่อ ก็ให้มาแบบครบครันทั้ง Bluetooth, NFC, HDMI, Optical, AUX/3.5 mm. และ USB สำหรับเล่นเพลงบน Thumb Drive รวมถึงเรียกดูและควบคุมได้เพิ่มเติมผ่านแอป Sony | Music Center รองรับทั้ง iOS และ Android อีกด้วย
• ลำโพง Soundbar ระบบเสียง 5.1
• ลำโพง Surround Tallboy ตั้งวางได้อิสระ
• Subwoofer ขนาดใหญ่ขับเสียงกระหึ่ม
• รองรับระบบเสียงรอบทิศทาง Dolby และ DTS
• เหมาะกับ TV ขนาด 35 นิ้วขึ้นไป
7. Klipsch BAR 48 Sound Bar (ราคา 26,900 บาท)
สรำหรับรุ่นสุดท้าย เป็นรุ่นที่ไม่พูดถึงไม่ได้จริงๆ จากแบรนด์ที่มีแฟนๆ อย่างมากมายกับแบรนด์ Klipsch ในรุ่น Klipsch BAR 48 ที่มีจุดเด่นในเรื่องของการออกแบบรูปทรงที่ดูคลาสสิคแต่ก็ดูทันสมัยในเวลาเดียวกันด้วยส่วนของวัสดุที่เลือกใช้ไม้แท้ๆ เป็นกรอบของตัวลำโพง และจุดเด่นในเรื่องไดรเวอร์แบบ Tractrix® Horns ขนาด 90° X 90° ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ ทำให้แนวเสียงที่ได้นั้นมีความสมจริง ฟังสนุก เหนือกว่ารุ่นและแบรนด์อื่นๆ ในชุดประกอบไปด้วยตัว Soundbar ยาว 121.1 เซนติเมตร หรือก็คือราวๆ 48 นิ้วตามชื่อรุ่น Bar 48 และ Subwoofer ไร้สายขนาดใหญ่ถึง 8 นิ้ว เหมาะกับการใช้งานกับ TV ขนาด 48 นิ้วขึ้นไป เมื่อวางไว้ด้วยกันก็จะพอดีไม่รู้สึกว่าตัวลำโพงใหญ่จนเกิน TV นั่นเอง
มาพร้อมระบบเสียง Surround 3.1 พร้อมด้วยแรงขับที่สูงถึง 440W ให้เสียงกระหึ่มถึงใจ รองรับระบบเสียง Surround รอบทิศทางทั้ง Dolby Digital และ DTS แบบเดียวกับในโรงภาพยนตร์ ภาพรวมแนวเสียงนั้นด้วยไดรเวอร์พิเศษแบบเฉพาะตัวของ Klipsch ให้จุดเด่นในย่านกลางที่มีความเคลียร์ใส คมกริปถึงใจ เสียงพูดคมชัดฟังง่าย รายละเอียดเอฟเฟกต์ต่างๆที่ให้มาอย่างครบถ้วน รวมถึงแจกแจงมิติเสียงต่างๆ ได้ดี ทิศทางสมจริง และเบสลูกใหญ่มวลเต็มกระหึ่มถึงอารมณ์ รับรองได้เลยว่าให้ประสบการณ์การดู Netflix ที่บ้านแบบใกล้เคียงกับในโรงภาพยนตร์อย่างแน่นอน
ส่วนของการเชื่อมต่อให้มาแบบครบครันทั้ง Bluetooth, HDMI, AUX/3.5 mm., Optical และ Sub-Out นอกจากนี้หากระบบเสียง 3.1 ยังไม่พอ ก็สามารถซื้อ ลำโพงไร้สาย Klipsch Surround 3 อีก 2 ตัวเพื่อขับเสียง Surround 5.1 ได้อีกด้วย
• ลำโพง Soundbar 3.1 ขนาด 45 นิ้ว
• เพิ่ม Surround ไร้สายเป็นระบบเสียง 5.1 ได้
• Subwoofer ไร้สายขนาดใหญ่ขับเสียงกระหึ่ม
• รองรับระบบเสียงรอบทิศทาง Dolby และ DTS
• เหมาะกับ TV ขนาด 48 นิ้วขึ้นไป
*สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมนั้นดูรีวิวเต็มๆ ได้ที่นี่ครับ
เป็นยังไงกันบ้างครับกับลำโพง Soundbar ทั้ง 7 รุ่นที่มาแนะนำกันในครั้งนี้ จะเห็นว่าแต่ละรุ่นก็มีจุดเด่นที่ต่างกัน และราคาที่ต่างกันด้วยเช่นกัน แต่รับรองได้ว่าทั้ง 7 รุ่นที่มาแนะนำกันในครั้งนี้จะช่วยเปลี่ยนประสบการณ์การรับชม Netflix ของคุณให้สมจริงได้ไม่แพ้กับการรับชมในโรงภายนตร์อย่างแน่นอน ซึ่งในครั้งหน้าหากมีสินค้ารุ่นไหนน่าสนใจและพลาดไม่ได้ ทาง Mercular.com ก็จะรีบนำมาแนะนำกันอย่างแน่นอนครับ สวัสดีครับ