วิธีเลือกซื้อ Dac
20 เม.ย. 2560
วิธีเลือกซื้อ Dac
DAC ในปัจจุบันมีรูปแบบที่ค่อนข้างหลากหลายมากๆ ดังนั้นเราสามารถเลือก DAC ให้เหมาะกับการใช้งานของเราได้สบายและง่ายกว่าในอดีตมาก โดยปัจจุบันนั้น DAC จะแบ่งออกเป็น
Desktop DAC
ถือเป็น DAC ที่มีขนาดใหญ่สุดและมักจะเป็น DAC ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะเป็น DAC ที่สามารถอัดสเปกลงไปได้จนสุดปลายทาง มีราคาตั้งแต่ไม่กี่พันไปจนถึงระดับล้านบาท ซึ่ง DAC ชนิดนี้จะมีใช้ทั้งในงานแบบ Professional และในบ้านแบบ Consumer ทั่วไปเพื่อการฟังเพลง เหมาะสำหรับใช้งานคู่กับลำโพงแบบ Active หรือชุดเครื่องเสียงทุกรูปแบบ
DAC ชนิดนี้จะมีทั้งเป็น DAC แบบ Pure DAC , DAC+Headphone AMP และ DAC แบบ All in one ที่จะมาพร้อม integrated amp ทำให้สามารถขับลำโพงแบบ Passive ได้โดยตรง เรียกว่าใครที่กำลังหา DAC เพื่อฟังเพลงกับคอมพิวเตอร์ควรจะมอง DAC แบบนี้เป็นอันดับแรก
Portable DAC/AMP
เป็น DAC อีกชนิดที่นิยมใช้กันมากในอดีต เพราะเป็น DAC ที่เกิดมาเพื่อใช้กับมือถือโดยเฉพาะ จุดเด่นคือมีขนาดกำลังดีพกพาง่าย และมักจะมีแบตฯ ในตัวด้วย ซึ่งนอกจากจะต่อกับมือถือได้แล้ว บางรุ่นสามารถต่อกับ PC ได้ด้วย แต่ด้วยความที่ภาค Output ออกแบบมาเพื่อใช้งานกับหูฟังเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ไม่เหมาะกับการใช้ร่วมกับลำโพงหลาย ๆ ตัว
Bluetooth DAC/AMP
เป็น DAC ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน โครงสร้างโดยรวมจะคล้ายๆ Portable DAC แต่จะมีขนาดที่เล็กกว่ามากๆ และจะมีสไตล์การทำงานเหมือนกับ Bluetooth Receiver แต่จะมีความสามารถที่สูงกว่า และบางรุ่นยังสามารถเสียบต่อเข้าช่อง USB เพื่อทำงานเป็น DAC ได้ด้วย
USB DAC
เป็น DAC ที่ปัจจุบันก็ได้รับความนิยมอย่างมากเช่นเดียวกัน ในอดีตจะเป็น DAC ขนาดเล็กที่มีขนาดใกล้เคียงกับ Flash drive และมีช่อง Output เป็นแจ๊คแบบ 3.5 เท่านั้น เน้นใช้งานคู่กับ PC เป็นหลัก แต่ปัจจุบันได้มี USB DAC ที่ขนาดเล็กกว่าเดิม โดยมีจุดเริ่มมาจากแบรนด์ Apple ที่ตัดช่อง 3.5 ออกแล้วใส่สาย adapter USB to 3.5 มาให้แทน จึงกลายเป็นจุดเริ่มต่อของ USB DAC ชนิดนี้ขึ้นมาและถูกเรียกชื่อในภายหลังว่า DAC หางหนู นั่นเอง
จุดเด่นของ DAC แบบหางหนูอยู่ที่ความง่ายในการใช้งาน เพียงแค่เสียบก็ใช้งานได้ทันที ขนาดเล็กพกพาง่าย ไม่ต้องใช้แบตฯ สเปกปัจจุบันเองก็ไม่ธรรมดาเพราะรองรับ format file อย่าง DSD ได้ด้วย แต่ประสิทธิภาพยังเป็นรองจากพวก Portable DAC พอสมควร
แล้วจะเลือกซื้อ DAC ซักตัวต้องดูอะไรเป็นหลัก ?
การที่เราจะตัดสินใจเลือกซื้อ DAC ซักตัว มีวิธีการเลือกไม่ยาก
- เลือกจากงบในกระเป๋า อันนี้เป็นเหตุผลง่ายๆ เพราะถ้างบไม่พอเราก็ซื้อไม่ได้อยู่ดี และส่วนใหญ่ DAC ก็จะมีค่อนข้างครอบคลุมในทุกระดับราคาตามงบประมาณที่เรามี ยกเว้นตัวที่เราอยากได้จริงๆก็สามารถเก็บตังค์เพื่อซื้อได้ในภายหลัง
- เลือกจากสเปก เพราะ DAC ส่วนใหญ่จะมีสเปกไม่เท่ากัน โดยเฉพาะรุ่นระดับกลาง ๆ มักจะมีสเปคที่สูงมาก ๆ ช่นรองรับ PCM ที่ระดับ 32bit/384khz และรองรับ DSD ที่ระดับ DSD512 หรือบางตัวก็จะรองรับ MQA ได้อีกด้วย ไม่นับเรื่องกำลังขับสำหรับพวก DAC/AMP ซึ่งบางคนเลือกมาเพื่อใช้กับหูฟังที่มีโอห์มสูงๆ เหล่านี้คือจุดสำคัญที่ต้องดูเป็นอันดับต้นๆเช่นเดียวกัน
- เลือกจากบุคลิกเสียง เพราะ DAC แต่ละตัวจะให้เสียงที่ไม่เหมือนกัน มีทั้งกลางแห้ง เบสกระด้าง หรือกลางอิ่ม เสียงแหลมชัดใส ซึ่งถ้าจะเลือกมาใช้งานจริงๆเราต้องเลือกจากเสียงในแนวที่เราชอบมากที่สุด ให้คิดว่าซะว่าเรากำลังเลือกเครื่องเล่นเพลงมาใช้งาน เพราะตัว PC หรือ มือถือเรามันจะกลายเป็นเพียงตัวเก็บข้อมูลเท่านั้น ส่วนหลักๆการทำงานจะย้ายมาอยู่ที่ DAC ทั้งหมด ดังนั้นถ้าเลือก DAC ที่เสียงไม่ถูกใจมา ก็จะไม่สามารถแก้ไขอะไรได้เลย
- เลือกจากการใช้งาน ตรงนี้ต้องดูด้วยว่าเราจะใช้ DAC กับอะไรและที่ไหนเป็นหลัก เพราะถ้าเน้นพกพาไปข้างนอก ก็ควรจะเลือก DAC แบบพกพามากกว่า แต่ถ้าเน้นฟังเพลงที่บ้านก็ควรจะเลือกเป็น DAC แบบ Desktop จะให้ประสิทธิภาพที่ดีกว่า เพราะ DAC แบบ Desktop ถือเป็น DAC ที่ให้คุณภาพเสียงที่ดีที่สุดในบรรดา DAC ทุกชนิดนั่นเอง
DAC แพงกับ DAC ถูกเสียงต่างกันหรือไม่ ?
DAC ถูกกับ DAC แพงนั้น ให้เสียงที่ต่างกันในระดับต่างกันมากๆเลยทีเดียว ลำพังแต่ DAC ในราคาใกล้ๆกันก็ยังให้คุณภาพเสียงที่ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว DAC ยิ่งราคาแพงก็ยิ่งให้คุณภาพเสียงที่ดีกว่า เหตุผลง่ายๆ เพราะเค้าสามารถคัดอุปกรณ์เกรดสูงกว่า การจ่ายไฟในระบบนิ่งกว่า สเถียรกว่า รวมไปถึงเกรดของ chip DAC ก็สามารถใช้เกรดที่ระดับสูงกว่า ทำให้คุณภาพโดยรวมออกมาดีกว่านั่นเอง