รวมหูฟังถอดเปลี่ยนสายได้สุดคุ้มค่า
19 มิ.ย. 2560
สำหรับมือใหม่หัดฟังเพลงหลายๆคนคงไม่รู้ว่ามีหูฟังประเภทหนึ่งที่สามารถถอดเปลี่ยนสายหูฟังได้นั่นเอง ซึ่งการเปลี่ยนสายนั้นก็เพื่อที่จะให้รายละเอียดหรือคุณภาพเสียงดีขึ้นใน “แบบฉบับของตนเอง” ซึ่งกลุ่มคนบางกลุ่มก็เลือกที่จะโมดิฟายหรือดัดแปลงสายเอง โดยที่ตัดสายเก่าแล้วเชื่อมสายใหม่เข้าไป โดยในเคสนี้มีน้อยคนนักที่จะทำออกมาได้และทำได้ดี ในขณะที่หลายๆแบรนด์หูฟังมองเห็นโอกาสตรงจุดนี้ จึงออกหูฟังประเภทที่ว่าสามารถถอดเปลี่ยนสายได้เพื่อเอาใจคนกลุ่มนี้นั่นเอง ซึ่งในบทความนี้ทาง Mercular.com ได้คัดเลือกสุดยอดหูฟังที่เปลี่ยนสายได้ในราคาคุ้มค่าเผื่อว่าใครที่ตามหาอยู่จะนำหูฟังเหล่านี้ไปต่อยอดกันครับ
หูฟัง KZ ED12 (590 บาท)
ใครจะคิดว่าหูฟังเปลี่ยนสายได้จะราคาเพียง 590 บาท..สำหรับ KZ ED12 ถือเป็นหูฟัง In-Ear รูปทรงคัสต้อมสวยงามที่ให้คุณภาพเสียงที่ดีเอามากๆตัวหนึ่งเลย ซึ่งเจ้า KZ ED12 มีมิติของเสียงกว้างและลึก ค่อนข้างสมจริง อีกทั้งสามารถแยกรายละเอียดชิ้นดนตรีได้ดี โดยหูฟัง KZ ED12 ใช้สายแบบ 0.75 MM (Standard pin) ครับ
หูฟัง Fiio F5 (2,190 บาท)
สำหรับ Fiio F5 หูฟังน้องใหม่ของค่าย Fiio ที่สามารถถอดสายได้(เป็นตัวแรก) ซึ่งกำลังจะวางขายในตลาดเร็วๆนี้ จุดเด่นของ Fiio F5 คือการรองรับคุณภาพเสียงระดับ Hi-Res (รับรองโดย Japan Audio Society) ซึ่งสามารถตอบสนองความถี่ได้สูงสุดถึง 40kHz เลยทีเดียว ที่สำคัญคือรองรับอุปกรณ์ของ Apple อีกด้วย (MFi)
เร็วๆนี้ที่ Mercular.com
หูฟัง Audio-Technica E40 (3,790 บาท)
มาถึงหูฟังรุ่นคุ้นเคยอย่าง ATH-E40 น้องเล็กของ E-Series ที่ใช้ไดร์เวอร์ประกอบด้วยแผ่นไดอะแฟรม 2 ชิ้น ขยับไปคนละทิศทางช่วยให้เสียงทีได้เที่ยงตรง การแยกเสียงชิ้นดนตรีที่ทำได้น่าประทับใจ จัดว่ากินขาดในช่วงราคาเดียวกัน ความน่ารักของ E40 อยู่ที่ขั้วสายที่เป็นแบบ A2DC (ขั้วเฉพาะของทาง ATH) ดังนั้นถ้าจะหาสายมาเปลี่ยนงานนี้คงต้องพึ่งสายจากทางค่ายเองแล้วแหละครับ ฮ่าๆๆ
หูฟัง Shure SE215 Special Edition (4,490 บาท)
รุ่นต่อยอดจาก Shure SE215 ที่มาในบอดี้ทรงฟ้าใส มองทะลุเห็นข้างใน ที่มาในโทนเสียง คมชัด สด มีสมดุลเสียงทุกย่านที่ดี โดยจุดเด่นที่เพิ่มเติมเข้ามาสำหรับรุ่น Special Edition คือเสียงเบสที่มีอิมแพคหรือแรงปะทะ อีกทั้งลงได้ลึกมากขึ้น สำหรับขั้วสายจะเป็นแบบ MMCX ทั่วไป สามารถหาสายอื่นๆมาเปลี่ยนได้ง่ายครับ หากใครที่มองหาหูฟังที่ใช้งานได้หลากหลายตัวนี้ถือว่าคุ้มค่าสุดๆแน่นอน
หูฟัง Fender DXA1 (4,490 บาท)
สำหรับ Fender แบรนด์ดังระดับมืออาชีพ แต่ก็เป็นน้องใหม่ในวงการหูฟังเช่นกัน (Fender พึ่งจะเทคโอเวอร์ Aurisonics เมื่อปีก่อนนี้เอง) โดยหูฟัง Fender DXA1 ถือเป็นน้องเล็กสุดที่ทาง Fender ส่งลงตลาดหูฟัง โดยจุดเด่นของ DXA1 ตัวนี้อยู่ที่คาแรคเตอร์ของเสียง เสียงมีความ Flat (คือเป็นระนาบเดียวกันไม่ถูกปรุงแต่ง) ซึ่งรายละเอียดของเสียงก็ทำได้ดี สมกับเป็นหูฟังมอนิเตอร์เลยทีเดียว ซึ่ง Fender DXA1 ใช้ขั้วแบบ MMCX ครับ
หูฟัง JVC HA-FW02 (13,900 บาท)
ต่อกันที่หูฟังรุ่นรองท็อปอย่าง JVC HA-FW02 (ตัวท็อปคือ FW01) ซึ่งสาเหตุที่หยิบรุ่นนี้มาพูดถึงคือจะเป็นเรื่องความคุ้มค่าตามหัวข้อของเรานั่นเอง สำหรับไดร์เวอร์ที่ใช้ยังคงเป็นแบบไดนามิค ซึ่งมีจุดเด่นอยู่ที่เสียงเบสที่มีแรงปะทะค่อนข้างหนักหน่วงกว่าอีกสองรุ่น (FW01และFW03) นอกจากนี้รายละเอียดของเสียงที่ได้ค่อนข้างเนี๊ยบ ทั้งยังได้ความสมจริงของมิติเสียงอีกด้วยครับ โดยขั้วหูฟังยังคงเป็นแบบ MMCX เช่นกัน
หูฟัง Shure SE535 (17,990 บาท)
มาถึงหูฟังรุ่นตำนานตัวท็อปอย่าง Shure SE535 ที่คอ Audiophile ต่างรู้จักชื่อเสียงเรียงนามเป็นอย่างดี โดยภายใน มีไดร์เวอร์มากถึง 3 ตัว พร้อม Crossover ช่วยให้เสียงที่แม่นยำ ซึ่งตัวไดร์เวอร์ที่เลือกมาเป็นแบบ High-Definition Dynamic MicroDrivers ที่ให้เสียงเป็นธรรมชาติ สำหรับเสียงของ Shure SE 535 ยังคงให้เสน่ห์ในส่วนของรายละเอียดค่อนข้างดีเช่นเดิม รวมถึงความ Flat ของเสียงที่ไม่ปรุงแต่งใดๆทั้งสิ้น บริเวณขั้วต่อ MMCX ทำจากทอง สามารถหมุนได้ 360 องศา สร้างความสะดวกในการฟังเพลงได้เป็นอย่างดี
หูฟัง Westone W60 (35,000 บาท)
ปิดท้ายด้วยสุดยอดหูฟังรุ่นเรือธงอย่าง Westone W60 ที่ถือว่าเป็นรุ่นที่ตอบโจทย์การใช้งานแบบส่วนตั๊ว ส่วนตัวมากที่สุด ซึ่งทาง Westone จัด Driver แบบ Balanced Armature มาให้มากถึง 6 Driver ต่อข้างเลยทีเดียว อีกทั้งยังมี วงจรตัดแบ่งความถี่ (Crossover) แบบ 3 ทาง ภาพรวมของเสียงให้ความพริ้วไหว มีความไหลลื่นของเสียงร้อง อบอุ่น มีเอกลักษณ์ เสียงแหลมปลายเปิด ให้รายละเอียดครบครัน เด่นเป็นประกาย เบสมีมวล แน่นและมีอิมแพคที่ดี ปิดท้ายด้วยเวทีเสียงที่กว้างสุดๆ โดยเจ้า Westone W60 สามารถเปลี่ยนสายได้เช่นกัน โดยจะเป็นขั้วแบบ MMCX ครับ