มินิรีวิว Fitbit Sense Smartwatch
1 ก.ย. 2563
เปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเรียบร้อยพร้อม ๆ กับรุ่น Versa 3 สำหรับสมาร์ทวอทช์ตัวใหม่จากแบรนด์ Fitbit ที่มาในชื่อรุ่นว่า Fitbit Sense จุดเด่นคือเป็นสมาร์ทวอทช์เพื่อสุขภาพอย่างแท้จริง มาพร้อมซอฟต์แวร์ที่ทันสมัย อีกทั้งยังมีการนำเซนเซอร์ตรวจจับสัญญาณ EDA (Electrodermal Activity) มาใช้งานบน Smartwatch เป็นครั้งแรกของโลก เพื่อใช้สำหรับการบริหารจัดการความเครียด และความสามารถในการตรวจจับค่าต่าง ๆ อีกมากมาย นอกจากนี้แบตเตอรี่ยังสามารถใช้งานได้ยาวนานถึง 6 วัน รองรับ Fast Charging มีสีให้เลือกด้วยกันทั้งสิ้น 2 สี คือ Carbon และ Lunar White ราคาเปิดตัวอยู่ที่ $329 (ประมาณ 10,200 บาท)
Fitbit sense มีดีไซน์การออกแบบที่เรียบหรู ดูดี หน้าจอ AMOLED แบบสี่เหลี่ยม ใช้กระจก Gorilla Glass 3 ตัวเรือนทำจากสแตนเลสขัดเงา มาพร้อมสายซิลิโคนแบบใหม่ Infinity Band ที่ออกแบบอย่างเรียบง่าย น้ำหนักเบา ยืดหยุ่น ถอดเปลี่ยนสายได้อย่างสะดวก เพื่อให้สวมใส่สบายขึ้นไม่ว่าจะกลางวันหรือกลางคืน ตัวสมาร์ทวอทช์มี GPS สำหรับติดตามการออกกำลังกายในตัว อีกทั้งยังได้รับมาตรฐานกันน้ำที่ 5 ATM หรือกันน้ำลึกได้ 50 เมตร
จุดเด่นของ Sense คือเป็น wearable device ที่ชูความสามารถด้านการตรวจจับสุขภาพได้อย่างสมบูรณ์แบบ เรียกได้ว่าจัดหนักจัดเต็มเลยทีเดียว ด้วยเซนเซอร์ตรวจจับสัญญาณ EDA ที่ถูกนำมาใช้สมาร์ทวอทช์รุ่นนี้เป็นครั้งแรกของโลก ทำให้สามารถตรวจจับความเครียดได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่วางฝ่ามือลงบนหน้าปัดของตัวเครื่อง เพื่อวัดระดับความเข้มข้นของเหงื่อบนผิว จากนั้นจะทำการสรุปผลออกมาเป็นคะแนน Stress Management Score ตั้งแต่ 1-100 เพื่อให้คำแนะนำแก่ผู้ใช้งาน ในการจัดการกับความเครียดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ด้วยเทคโนโลยีใหม่ที่ชื่อว่า PurePulse 2.0 พร้อมกับเซนเซอร์แบบใหม่ที่เรียกว่า Biosensor Core ทำให้สามารถตรวจวัดอัตราการเต้นของหัวใจได้อย่างแม่นยำยิ่งกว่าเก่า ซึ่งทางแบรนด์เคลมเอาไว้ว่าดีที่สุดตั้งแต่เคยทำมาเลยทีเดียว อีกทั้งยังมีฟีเจอร์ ECG ที่ใช้สำหรับตรวจจับคลื่นไฟฟ้าของหัวใจ, ตรวจสอบความเสี่ยงภาวะหัวใจสั่น หรือ Atrial Fibrillation (AFib), เซนเซอร์วัดอุณหภูมิของร่างกายผ่านผิวหนัง, เซนเซอร์วิเคราะห์ความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดแดง หรือ SpO2, ฟีเจอร์การติดตามความแปรปรวนของอัตราการเต้นของหัวใจ (HRV) แต่ทั้งสองฟีเจอร์ด้านหลังนั้นต้องสมัคร Fitbit Premium เสียก่อน ถึงจะใช้งานได้
นอกจากจะใส่ความสามารถเก่า ๆ ที่ทำได้ดีอยู่แล้ว เช่น การติดตามสุขภาพตลอด 24 ชั่วโมง, ฟีเจอร์ Active Zone Minute ที่ใช้คำนวณเวลาในการออกกำลังกาย, รองรับ Fitbit Pay ก็ยังมีความสามารถอื่นที่เพิ่มเข้ามาอีกมากมาย เช่น รองรับการสั่งงานด้วยเสียงจาก Google Assistant และ Amazon Alexa ในอนาคตอาจจะรองรับการคุยโทรศัพท์ผ่านสมาร์ทวอทช์ได้โดยตรง เนื่องจากมีไมค์และลำโพงในตัว ผู้ใช้งานที่ซื้อ Fitbit Sense จะได้รับการเปิดใช้งาน Fitbit Premium ฟรี นานถึง 6 เดือน เรียกได้ว่าสมาร์ทวอทช์เพื่อสุขภาพที่คุ้มค่า น่าใช้งานเป็นอย่างมาก