ที่ชาร์จแบตในรถ ยังมีใครใช้อยู่ไหม

23 มิ.ย. 2564

ที่ชาร์จแบตในรถ ยังมีใครใช้อยู่ไหม

สมาร์ทโฟนเป็นเครื่องมือสื่อสารที่จำเป็นและมักจะต้องพกติดตัวไปไหนมาไหนอยู่เสมอ ซึ่งบางครั้งมันก็มีหลายสาเหตุที่อาจทำให้รีบจนลืมชาร์จแบตโทรศัพท์ได้ ถึงแม้ว่าสมัยนี้จะมีอุปกรณ์ที่ช่วยให้ชาร์จมือถือแบบพกพาอย่างพาวเวอร์แบงค์ แต่ด้วยขนาดที่ใหญ่และน้ำหนักของมันจึงไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่ที่เราจะนำพกติดตัวไปไหนด้วยตลอดเวลา ดังนั้นเราจึงมีอีกทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยตอบโจทย์สำหรับผู้ที่ต้องเดินทางด้วยรถยนต์บ่อย ๆ ด้วยการใช้ที่ชาร์จแบตในรถที่มอบความสะดวกสบายและความปลอดภัยที่มากกว่านั่นเอง

ทว่าที่ชาร์จแบตในรถ ก็ไม่ได้จะเหมือนกันหมดซักทีเดียว เนื่องจากในตลาดมีสินค้าหลากหลายยี่ห้อให้เลือกซื้อมีตั้งแต่ราคาถูกมาก ไปจนถึงราคาหลายพันบาท ซึ่งถ้าเป็นมือใหม่ก็คงไม่รู้ว่าควรจะต้องเลือกซื้ออย่างไรถึงจะได้ตัวที่คุ้มที่สุด แต่ไม่ต้องเป็นกังวลไป ถ้าคุณรู้ว่าตัวเองต้องการอะไรและรู้จักหลักการทำงานของที่ชาร์จแบตในรถให้มากกว่านี้ จะช่วยให้เพื่อน ๆ สามารถเลือกซื้อได้อย่างมั่นใจมากยิ่งขึ้นครับ

ที่ชาร์จแบตในรถคืออะไร ?

ที่ชาร์จแบตในรถคืออะไร ?

ที่ชาร์จแบตในรถเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยแปลงไฟจากแบตรถยนต์ เพื่อนำมาชารจ์แบตให้กับโทรศัพท์มือถือ มีทั้งแบบที่เสียบกับช่องจุดบุหรี่ หรือ ต่อกับสายไฟตรง ซึ่งแบบแรกจะนิยมใช้กันมากกว่า เนื่องจากแค่นำไปเสียบก็พร้อมใช้งานได้ทันที หลักการทำงานของที่ชาร์จแบตในรถจะแปลงไฟ 12 โวลต์ ให้เหลือ 5 โวลต์ ไปยังช่อง USB เพื่อนำไปจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์ที่เสียบชาร์จอยู่ ที่ชาร์จแบตในรถมีให้เลือกใช้งานหลายรุ่น หลายยี่ห้อ แต่ละรุ่นจะมีช่องเสียบ USB ให้เลือกตั้งแต่ 1 – 4 ช่อง ยิ่งจำนวนช่องมากเท่าไหร่ก็สามารถชาร์จสมาร์ทโฟนได้หลายเครื่องในเวลาเดียวกัน จึงเป็นอุปกรณ์ที่มีประโยชน์มากสำหรับการเดินทางไกล

ทำไมที่ชาร์จแบตในรถถึงยังสำคัญอยู่

หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมเรายังต้องใช้ที่ชาร์จแบตในรถอยู่ ไม่เปลี่ยนไปใช้พาวเวอร์แบงค์ให้หมดเรื่องหมดราวไปเลย อย่าลืมว่าความจุของพาวเวอร์แบงค์ก็มีจำกัด และมันอาจไม่พอใช้ในช่วงเวลาที่กำลังคับขัน นั่นทำให้ที่ชาร์จแบตในรถยังเป็นตัวเลือกที่สำคัญมากสำหรับคนที่เป็นเจ้าของธุรกิจ หรือพนักงานขายที่ต้องขับรถออกไปหาลูกค้าตลอดทั้งวัน ทำให้มือถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะปล่อยให้แบตหมดไม่ได้เป็นอันขาด เพราะหากแบตหมดระหว่างคุยธุรกิจสำคัญ ก็อาจหมายถึงความเสียหายทางธุรกิจอันใหญ่หลวง

จะซื้อที่ชาร์จแบตในรถต้องเลือกอย่างไร

จะซื้อที่ชาร์จแบตในรถต้องเลือกอย่างไร

1. จำนวนช่องเสียบ USB ให้คำนึงถึงจำนวนอุปกรณ์ที่คุณต้องการชาร์จ ที่ชาร์จแบตในรถส่วนมากจะมาพร้อมกับช่องเสียบ USB อย่างน้อย 2 ช่อง ซึ่งเป็นจำนวนที่เพียงพอกับผู้ใช้งานทั่วไป แต่หากมีอุปกรณ์ที่ต้องการชาร์จมากกว่านี้ ก็ยังมีชนิด 4 ช่องให้เลือกใช้งานด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ยังอาจมีช่องเสริมอื่น ๆ ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกเพิ่มเข้ามาด้วย


2. ขนาดของอุปกรณ์ ถือเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่สำคัญ ที่ชาร์จแบตในรถควรที่จะเข้าถึงได้ง่ายจากที่นั่งคนขับ แต่จะดีกว่ามากถ้ามันสามารถที่จะเข้าถึงได้จากทุกส่วนของรถยนต์ เนื่องจากขนาดและรูปร่างของมันอาจใหญ่เล็กไม่เท่ากันตามจำนวนช่องและการออกแบบของผู้ผลิต ดังนั้นจึงควรเช็คเรื่องขนาดของตัวอุปกรณ์กับตำแหน่งที่จะนำไปเสียบในรถยนต์ดูก่อน เพื่อจะได้เลือกที่ชาร์จแบตในรถได้อย่างเหมาะสม


3. การจ่ายไฟ ที่ชาร์จแบตในรถส่วนใหญ่ตรองรับการจ่ายไฟที่ 2.1 หรือ 2.4 แอมป์ ถ้าเลือกรุ่นที่จ่ายไฟได้น้อยกว่านี้ หมายความว่าอุปกรณ์ของคุณจะต้องใช้เวลาในการชาร์จที่นานขึ้น และตรวจดูให้มั่นใจว่ามันสามารถที่จะจ่ายไฟได้ทุกช่อง โดยปกติแล้วมักจะมีตัวเลขแอมป์ระบุไว้ใกล้ ๆ กับช่องเสียบ USB ถ้าหากใช้ระบบนำทางด้วย GPS เป็นประจำ ควรใช้ที่ชาร์จแบตในรถขนาด 2.4 แอมป์เป็นอย่างต่ำเนื่องจากการใช้ GPS ติดต่อกันเป็นเวลานานจะทำให้แบตเตอรี่หมดเร็วกว่าปกติหลายเท่า


4. รองรับการชาร์จไฟแบบ Fast Charging สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่รองรับการชาร์จไฟแบบ Fast Charging ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการชาร์จไฟที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพกว่า ในขณะที่ไม่ทำให้ประสิทธิภาพในระยะยาวของแบตเตอรี่ในอุปกรณ์ลดลง หากต้องการความเร็วในการชาร์จอุปกรณ์ที่มากขึ้น ก็มีที่ชาร์จแบตในรถรุ่นที่ช่องจ่ายไฟแบบ Fast Charge แต่จะต้องใช้ร่วมกับสมาร์ทโฟนที่รองรับด้วยเช่นกัน


5. คุณภาพของที่ชาร์จแบตในรถ อย่ามองว่ารุ่นไหนก็ใช้ได้เหมือนกัน ให้เลือกดูจากแบรนด์ที่ได้รับความนิยม และมีรีวิวจากผู้ใช้งานจริง รวมถึงราคาที่เหมาะสม แต่ให้ระวังอย่าเลือกเพียงเพราะราคาถูกที่สุด เพราะส่วนใหญ่สินค้าที่ราคาถูกมากเกินไปนั้น มักไม่ได้ผ่านการทดสอบด้านคุณภาพและความปลอดภัยอย่างครบถ้วน ไม่เหมือนกับสินค้าแบรนด์เนมที่มีมาตรฐานการผลิตที่สูงกว่า มาพร้อมกับประกันที่ผู้ใช้สามารถเคลมเปลี่ยนได้เมื่อตัวอุปกรณ์มีปัญหา

ข้อควรระวังในการใช้งาน

แม้ว่าที่ชาร์จแบตในรถจะช่วยให้การเดินทางของเราสะดวกขึ้น แต่มันก็ยังมีข้อควรระวังที่ผู้ใช้ควรให้ความใส่ใจ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น


  • ไม่ควรเสียบชาร์จไฟไว้ตลอดเวลา หลายคนคิดว่าเสียบทิ้งไว้กับที่ชาร์จแบตในรถคงไม่เป็นไรอันตรายอะไร แต่รู้ไหมว่าการเสียบสายชาร์จทิ้งไว้ขณะที่แบตเตอรี่ของอุปกรณ์เต็ม อาจทำให้เกิดความร้อนสูงเกินได้หากใช้ที่ชาร์จแบตในรถที่ไม่ได้รับมาตรฐาน และอาจมีความเสี่ยงที่จะทำให้อายุขัยของแบตเตอรี่ในอุปกรณ์เสื่อมลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้นก่อนหรือหลังแบตชาร์จได้ 100% ควรถอดสายออกเพื่อช่วยยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์เสริมมือถือของคุณให้นานขึ้น


  • การชาร์จหลายอุปกรณ์พร้อมกัน ช่องจ่ายไฟจากที่จุดบุหรี่รถยนต์ใช้ไฟ 12 โวลต์ สามารถจ่ายไฟได้สูงสุด 10 แอมป์ ในขณะที่ชาร์จแบตในรถใช้เพียง 1 – 3 แอมป์ เท่านั้น หากอุปกรณ์เกิดชำรุดระหว่างใช้งานก็มีโอกาสที่จะทำให้ไฟกระชากก่อให้เกิดความร้อน และความเสียหายกับชิ้นส่วนภายในอุปกรณ์จนพังเสียหายได้ ดังนั้นจึงควรเลือกซื้อรุ่นที่สามารถป้องกันไฟกระชากได้ โดยเฉพาะถ้าต้องการชาร์จไฟหลายอุปกรณ์พร้อมกัน


  • ชาร์จไฟในขณะรถจอด หรือ ดับเครื่อง อาจใช้ไฟจากแบตเตอรี่รถยนต์มากเกินไป และยิ่งใช้ที่ชาร์จแบตในรถร่วมกับอุปกรณ์อื่น ๆ พร้อมกัน อย่าง วิทยุ หรือ หน้าจอ จะยิ่งทำให้ไฟจากแบตเตอรี่รถหมดเร็วยิ่งขึ้น ปัญหานี้อาจไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ ที่มีความจุแบตเหลือเฟือ แต่สำหรับรถเก่า ๆ ที่มีความเสี่ยงในเรื่องแบตเตอรี่เสื่อมอยู่แล้วก็อาจทำแบตหมดได้เลย


  • แม้ดับเครื่องแล้วอาจยังมีการจ่ายไฟอยู่ สืบเนื่องจากข้อด้านบน แต่สำหรับข้อนี้เป็นกรณีที่เกิดลืมอุปกรณ์เสียบชาร์จไว้บนรถยนต์ สำหรับรถรุ่นใหม่ ๆ จะมีการตัดไฟทุกอย่างเมื่อมีการดับเครื่อง แต่รถทั่ว ๆ อาจยังพบว่าแม้ดับเครื่องแล้วยังมีการจ่ายไฟให้ให้กับที่ชาร์จแบตในรถอยู่ ถ้าเผลอเสียบอุปกรณ์ทิ้งไว้บนรถ รู้ตัวอีกทีก็อาจทำให้แบตรถของคุณหมดเสียแล้ว ดังนั้นก่อนลงจากรถแนะนำให้ถอดที่ชาร์จแบตในรถออกทุกครั้ง จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดกรณีดังกล่าวขึ้นได้
ที่ชาร์จแบตในรถ ยังมีใครใช้อยู่ไหม

ชาร์จแบตในรถยังคงเป็นอุปกรณ์สำคัญที่ต้องมีติดไว้บนรถยนต์ ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยชาร์จแบตเตอรี่ให้กับสมาร์ทโฟนได้แล้ว ยังใช้สามารถใช้ชาร์จอุปกรณ์อื่น ๆ อย่างกล้องถ่ายรูป หรือ โน้ตบุ๊ก ได้อีกด้วย ที่ชาร์จแบตในรถมีให้เลือกใช้งานกันหลายยี่ห้อ จึงควรเลือกซื้อสินค้าอย่างระมัดระวัง โดยสามารถนำคำแนะนำของเราไปใช้ประกอบการตัดสินใจได้ สิ่งที่เราอยากเน้นย้ำคืออย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจเพียงเพราะสินค้าราคาถูก ต้องดูด้วยว่ามันเป็นสินค้าที่มีมาตรฐานสูง ทนทาน และสามารถตอบโจทย์การใช้งานของคุณได้

best-seller-ads
article-banner-1
article-banner-2