ส่องระบบเสียงหูฟัง 7.1 Surround จาก 6 ค่ายดัง
รับประกันโดยศูนย์ไทย ระยะเวลา 1 ปี
เป็นตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการ
แชทคุยกับผู้เชี่ยวชาญเพื่อเลือกสินค้าที่ใช่สำหรับคุณ
รีวิว หูฟัง HyperX Cloud Orbit S Headphone
สรุป หูฟัง HyperX Cloud Orbit S Headphone เหมาะกับใคร ?
HyperX Cloud Orbit S เป็นหูฟังเกมมิ่งตัวท็อปของ HyperX ที่ออกแบบมาเพื่อผู้ที่สนใจหูฟังที่มีความแม่นยำทางเสียงสูง และช่วงขับเสียงที่กว้างด้วยไดรเวอร์ขับเสียงที่ชึ้นชื่อว่ายอดเยี่ยมที่สุดในโลกและถูกใช้งานจริงในองค์กร NASA อย่าง Planar Magnetic Driver จาก Audeze มีเวทีเสียงที่กว้าง มิติเสียงสมจริง และเสียงที่ออกไปในแนว flat แม่นยำ สามารถปรับแต่งเสียงได้อิสระ และมาพร้อมเทคโนโลยีเสียงสมจริงที่ทำงานร่วมกับ Head Tracking สร้างมิติของเสียงให้เป็น 3 มิติ ทำให้มันถูกยกให้เป็น 1 ใน 4 หูฟังเกมมิ่งที่ดีที่สุดในปี 2019 ที่ถือว่ามีราคาเริ่มต้นที่น่าคบหาที่สุด เหมาะกับคนที่ชื่นอยากได้หูฟังเกมมิ่งไฮ-เอนด์ ในราคาไม่หนักมาก โดยเจ้าหูฟังเล่นเกมตัวนี้มีราคาอยู่ที่ 11,900 บาทเท่านั้น
1 ในหูฟังเกมมิ่งที่เสียงดีที่สุดในปี 2019
หูฟัง Planar Driver ราคาประหยัด
สำหรับเจ้าหูฟัง Cloud Orbit S นั้นจัดว่าเป็นหูฟัง Planar Driver หรือไดรเวอร์ขับเสียงที่ดีที่สุดในโลก ในซีรีย์ที่ถูกที่สุดตอนนี้ ซึ่งราคาของมันจะสูงกว่าแค่ Cloud Orbit ธรรมดา ๆ ที่ตัดเอาการใช้งาน Head tracking ออกไป โดยมีราคาเพียง 11,900 ถือว่าถูกกว่าหูฟัง Planar Magnetic Driver ตัวอื่นอยู่เกือบครึ่งตัว โดยถือว่าปัจจุบันมันเป็นเฮดโฟนตัว Hi-end ที่สุดของ HyperX การออกแบบด้านนอกของมันก็จะเป็นโครงพลาสติกเกรดพรีเมี่ยมเนื้อ Matte ให้ความรู้สึกในการสัมผัสที่หรูหรา และยังช่วยในการกันรอยขีดข่วนได้เป็นอย่างดี ฟองน้ำบริเวณหูฟังก็นุ่มและสวมใส่ได้ค่อนข้างสบาย สายคาดหัวสามารถปรับระดับได้ รวมไปถึงฟองน้ำบริเวณสายคาดหัวเองก็ยังช่วยให้มันใส่ได้สบายมากขึ้นอีกด้วย แม้ว่าจะมีน้ำหนักอยู่ที่ประมาณ 360 กรัม
สเปคที่ถูกยกระดับขึ้นไปอีกขั้น และ Waves Nx อีกหนึ่งเทคโนโลยีเสียงสมจริง
ปกติแล้วนั้นหูฟัง Cloud Series จะมีสเปคที่ค่อนข้างใกล้ ๆ กันมากแต่เจ้า HyperX Cloud Orbit S นั้นมีความแตกต่างชัดเจนทั้งช่วงเสียงที่สามารถทำได้กว้างกว่าตั้งแต่ 10 – 50,000 Hz เรียกได้ว่าให้ความสมจริงแก่ผู้ใช้งานได้แน่นอนไม่ว่าจะเจอกับเสียงแบบไหนนก็ตามรวมไปถึงแรงขับเสียงที่รองรับสูงสุด 120 เดซิเบลให้เสียงที่ดังกระหึ่มสมจริงสมจังขึ้นไปอีกขั้น แถมแฟน Mobile ยังได้เฮกันอีกด้วยเพราะมันสามารถเชื่อมต่อได้ทั้ง USB C, USB A และ AUX 3.5 ฉะนั้นไม่ว่าจะเป็น PC User หรือ Mobile ก็สามารถใช้งานได้ทั้งคู่ และยิ่งไปกว่านั้นภายในของเจ้า Cloud Orbit ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่อย่าง Waves Nx เทคโนโลยีเสียง 3 มิติที่เหนือกว่าระบบเสียง 7.1 ทั่ว ๆ ไป ทำให้การบอกทิศทางของเสียง และ บรรยากาศความโอบล้อมของเสียงนั้นสมจริงมากกว่าเดิม ทำให้มันเป็นหูฟังที่เหมาะกับเกมเมอร์มากที่สุด
Cloud Orbit S และ Head Tracking Feature
อย่างที่รู้กันว่าจุดแตกต่างระหว่าง HyperX Cloud Orbit และ Orbit S แตกต่างกันเพียงแค่ฟังก์ชั่นเดียวเท่านั้นก็คือ Head Tracking หรือ การสร้างบรรยากาศเสียงสมจริงโดยอ้างอิงจากการเคลื่อนที่ของหัวเราเหมือนแหล่งกำเนิดเสียงนั้น ๆ อยู่รอบตัวเรานั่นเอง เช่นมีกองไฟอยู่ข้างหลัง ถ้าเราหันหน้ากลับหลังไป เสียงของกองไปก็จะดังขึ้นมา เหมาะมาก ๆ เมื่อเอาไปใช้งานกับเกม VR หรือ First Person เพราะจะช่วยให้เสียงต่าง ๆ นั้นมีความสมจริงมากขึ้น ส่วนในเกมทั่ว ๆ ไป นั่นก็จะเป็นการช่วยสร้างความสมจริง และบรรยากาศของเสียงให้มีรายละเอียดดีขึ้น โดยสามารถใช้งานได้ผ่าน Software HyperX Orbit และยังสามารถปรับ EQ ของหูฟังได้จากค่า Presets ที่ถูกกำหนดเอาไว้ได้อีกด้วย
Orbit หรือ Orbit S ?
ความแตกต่าง ระหว่าง Orbit ทั้ง 2 นั้นไม่ได้แตกต่างกันเพียงราคา 2000 บาทเท่านั้น แต่สำหรับเกมเมอร์ที่งบถึงจริง ๆ แล้ว HyperX Cloud Orbit S นั้นน่าสนใจกว่ามาก ๆ เพราะฟังก์ชั่น Head Tracking นั้นทำให้สามารถดูหนัง ฟังเพลง และเล่นเกมได้สนุก เอามาก ๆ แต่ถ้าไม่ได้สนใจเจ้าฟังก์ชั่นนี้แล้ว Orbit ธรรมดา ๆ ถือว่าตอบโจทย์ผู้ใช้งานมาก
การเชื่อมต่อ
- AUX 3.5
- USB-A
- USB-C
อุปกรณ์ภายในกล่อง
- 1 x หูฟัง HyperX Orbit S
- 1 x ถุงสำหรับพกพา
- 1 x ไมโครโฟน
- 1 x สายเชื่อมต่อ USB C to USB C
- 1 x สายเชื่อมต่อ USB C to USB A
- 1 x สายเชื่อมต่อ AUX to AUX
รีวิวเสียง
สำหรับแนวเสียงของเจ้า Orbit S นั้นก็ถือว่าใกล้เคียง Audeze Mobius เพราะพื้นฐานทั้งไดรเวอร์และการเสียงจัดว่าใกล้เคียงกัน ฉะนั้นเนื้อเสียงหลักจะเน้นไปที่เสียงแฟลตที่มีความเป็นกลาง สามารถขับและลงรายละเอียดเสียงต่าง ๆ ออกมาได้อย่างแม่นยำ และสำหรับเกมเมอร์ที่อยากจะได้เสียงในโทนอื่น ๆ ก็สามารถตั้งค่าได้จาก Presets ที่แถมมาในซอฟต์แวร์
เสียงเอฟเฟค ในย่านสูงนั้นเนื้อเสียงเป็นประกาย รายละเอียดชัดเจนมาก ถ้าก็เปิดโหมด Flat ไว้จัดได้ว่าใสจนบาดหูเลยทีเดียว สายเสียงเอฟเฟคน่าจะชื่นชอบ ส่วนเสียงเอฟเฟคในย่านต่ำถือว่าเป็นเสน่ห์ของ Planar Magnetic Driver เลยก็ว่าได้ เพราะเบสลงได้ลึก รายละเอียดชัด เก็บตัวไว แรงสั่นสะเทือนต่าง ๆ นั้นมีความละเอียดสมจริงเอามาก ๆ
การระบุทิศทาง ทำได้ยอดเยี่ยม ทั้งเสียงระเบิดและเสียงฝีเท้าชัดสมจริง ทั้งระยะใกล้ไกล และทิศทาง ด้วยฟังก์ชั่นการใช้งานสียง 3 มิติทำให้มันระบุตำแหน่งได้ละเอียดอ่อนมากขึ้นอีก
เสียงดนตรีและเสียงพูด ก็จะออกไปในโทนฟังสบาย ๆ เสียงชัดไม่อุดอู้ ขับเสียงออกมาได้อย่างชัดเจน ไม่โดนเบสกลบแม้ว่าจะอยู่ในเกมที่มีฉากสงครามและเสียงระเบิดตูมตาม เอาไปเล่นเกมก็ได้ฟังเพลงก็ดี เสียงพูดตัวละคร โปร่งรายละเอียดชัดฟังสบายไม่อุดอู้ ช่วยให้ฟังง่าย
บรรยากาศความโอบล้อม จัดว่าเป็นจุดเด่นของหูฟังตัวนี้ ด้วย Wave NX 3D Surround ทำให้เกิดมิติทั้งทิศทางและความตื้นลึกที่กว้าง มีบรรยากาศของเสียงปกคลุมรอบตัวเหมือนของจริง นอกจากเอาไปเล่นเกมแล้วเนี่ยยังเอาไปดูหนังได้สนุกมาก ๆ โดยรวมแล้วก็มีการใช้งานที่ยืดหยุ่น โดดเด่นในเรื่องบรรยากาศแวดล้อมและเทคโนโลยีเสียงสมจริง
คะแนนเสียง 9.5
ไม่มีไฟ
มีสาย
มี
หูฟังครอบหู, หูฟังไร้สาย
มีไมค์
AUX (3.5mm), USB-C, USB-A
360.00 g
1.2 m